Last updated: 31 ม.ค. 2560 | 1017 จำนวนผู้เข้าชม |
เมโทรรัสเซีย ความลี้ลับ และสุดยอดแห่งการวางแผน
ในชั่วโมงเร่งรีบ ช่วงที่ผู้คนหลาย คนต่างเบียดเสียดเยียดยัดกันบนท้องถนน เพื่อไปยังจุดมุ่งหมายของตนเองด้วยระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด บางครั้งก็เป็นไปตามแพลนที่วางไว้ แต่ในบางครั้งก็ไม่เป็นไปตามนั้นเสมอไป อันเนื่องมาจาก ปัญหาการจราจรติดขัดบนท้องถนน หลายต่อหลายคนใช้เวลาไปกว่า 3 ชั่วโมง กับการเดินทางเพียงไม่กี่กิโลเมตร ปัญหานี้มีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะมหานครใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ ที่นับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีรถติดมากที่สุดในโลก ปัญหาที่หลายต่อหลายรัฐบาลพูดถึง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะแก้ไขได้ ปัญหาของความล่าช้าในระบบขนส่งมวลชล ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่เกิดขึ้นมาช้านานกว่าร้อยปีแล้ว จนในที่สุด อังกฤษ นับเป็นประเทศแรกที่มีการเปิดระบบการขนส่งมวลชนรูปแบบใหม่ในขณะนั้น ที่เรียกกันว่า เมโทร หรือ รถไฟใต้ดิน การขนส่งมวลชนในรูปแบบนี้ ย่นระยะเวลาที่ใช้บนท้องถนนของคนเมืองได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ทำให้มีการพัฒนาระบบการเดินทางรูปแบบเดียวกันนี้ไปยังประเทศยุโรปอื่นๆ รวมถึง รัสเซีย
รัสเซีย ในนามสหภาพโซเวียตขณะนั้น ได้เล็งเห็นถึงปัญหาการขนส่งมวลชน จึงได้ทำการว่าจ้างสถาปนิก และวิศวกรผู้เชียวชาญจากอังกฤษฐานะที่เป็นประเทศแรกที่สร้างรถไฟใต้ดิน ในปี 1931 นับได้ว่าเป็นการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของรัสเซียในการจัดทำระบบการเดินทางในรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า เมโทร ซึ่งได้รับการริเริ่มและสนับสนุนจากเลขานุการเอกของเมืองมอสโควในขณะนั้น คือ นาย กากาโนวิช ลาซาร มาอิเซเยวิช ขณะนั้นผู้คนในเมืองมอสโคว ต่างเบื่อหน่ายกับปัญหา ในการเดินทางด้วยระบบแทรม การตัดสินใจของผู้ว่าการกรุงมอสโควในขณะนั้น หวังว่าการสร้างระบบการเดินทางแบบใหม่จะช่วยลดปัญหาที่มีอยู่ และทำให้การขนย้ายผู้คนในเมืองไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีราคาถูกลง ในที่สุด ในเดือน พฤษภาคม 1935 จึงได้เกิดเมโทรสายแรกขึ้น คือ สาย ซาโกลนิกี่ จนถึง ปาร์คกุลตูรึย โดยเมโทรสายนี้ได้เปิดให้บริการด้วยความยาวของเส้นทางที่ 11 กม มีสถานีรวมทั้งสิ้น 13 สถานี นับได้ว่าเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินแห่งแรกในสหภาพโซเวียตขณะนั้น นอกเหนือจาก วิศกร ผู้เชียวชาญที่ได้ว่าจ้างมาจากอังกฤษ แล้ว คนงานที่ทำการก่อสร้างล้วนแต่เป็นชาวรัสเซีย และการประดับประดาตกแต่งต่างๆ รวมถึงศิลปะและประติมากรรมภายในสถานีล้วนแต่ใช้นักจิตรกรมืออาชีพและมีชื่อเสียงของสหภาพโซเวียตในสมัยนั้น นอกจากนั้น การตบแต่งภายในสถานี เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงศิลปะและวัฒนธรรมของชาวรัสเซียในแต่ละยุคสมัยได้อย่างดีเยี่ยม
ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งาน จวบจนถึงปี 1955 ด้วยเป็นการให้เกียรติกับผู้ริเริ่มโมโทร ชื่อเรียก เมโทรในกรุงมอสโควขณะนั้นจึงไม่ได้ได้ใช้ชื่อ สตาลิน หรือ เลนิน แต่ใช้ชื่อว่า เมโทรโปลิแตน กาการโนวิช นาย นิโคลาย ชูมากอฟ หนึ่งในสถาปนิก ได้กล่าวว่า “แนวคิดของการสร้างเมโทรในช่วงปี 1930 นั้น ไม่ได้ต้องการให้รถไฟใต้ดินเป็นเพียงแค่ระบบการขนส่งสาธารณะ แต่ยังเป็นอะไรที่มากกว่านั้น นั่นคือ ขณะนั้นต้องการทำให้สถานีของรถไฟใต้ดินเปรียบเสมือนหนึ่งพระราชวังใต้ดินสำหรับคนธรรมดาทั่วๆไป ด้วยเหตุนี้ การตบแต่งภายในเมโทรในสมัยนั้นจึงได้นำเอาหินอ่อน หินแกรนิต มีความโอ่โถง และนอกจากนั้นยังมีการจัดทำอนุสรณ์สถาน และอนุสาวรีย์ ใต้ดินอีกด้วย”
ทุกครั้งก่อนการจัดสร้างเมโทร คณะกรรมการพิเศษที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาจะทำหน้าที่เพื่อดูแลการก่อสร้าง และพิจารณาภาพเสก็ตก่อนเริ่มทำการสร้างจริง และในภาพเสก็ตเหล่านั้น บางภาพได้รับแนวคิดการสร้างมาจากสตาลินโดยตรง ที่ต้องการสร้างและตบแต่งเมโทรให้ไม่เป็นเพียงแค่สถานีรถไฟ แต่ภายในนั้นแฝงไปด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่เขาต้องการสื่อให้ผู้คนในยุคนั้นได้ซึมซับและอีกทั้งยังสร้างอนุสรณ์รำลึกในเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเมโทรด้วย
ในยุคสมัยของสตาลิน เมโทรถูกออกแบบให้เป็นดั่งความต้องการส่วนตัวของเขา ภายในสถานีประติมากรรมบนเพดานถูกตบแต่งไปด้วยแนวคิด แสงแห่งอนาคต (Svetloe Budushee) โดยใช้พระอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ สตาลินต้องการให้ผู้คนที่ใช้บริการสถานีรถไฟใต้ดินได้ชื่นชนความงดงามภายในสถานีประดุจดั่ง พระราชวังของคนธรรมดา การตบแต่งในสไตล์ของสตาลินนั้นซ่อนแนวคิดและปรัชญาในแบบของสตาลินเอาไว้มากมาย พระอาทิตย์ที่ใช้ตบแต่งเพดานของสถานีลึกๆ แล้ว สตาลินต้องการสื่อในความหมายถึง พระเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ก็คือตัวเขานั่นเอง
เมโทรในปี 1930 ไม่แตกต่างจากในปัจจุบัน ในช่วงเวลาเร่งรีบ ที่ผู้คนต่างพยายามเบียดเสียดเยียดยัดเข้าไปในตู้รถไฟ สถิติของผู้ใช้เมโทรเพิ่มขึ้นทุกปี จนในที่สุด หลังจากการก่อสร้างเมโทรได้ 8 ปี สถิติของผู้ใช้เมโทรในกรุงมอสโคว ติดอันดับสองของโลก ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ใช้บริการเมโทรถึง 2500 ล้านคนต่อปี
ในช่วงเหตุการณ์สงคราม เมโทรได้มีบทบาทกับผู้คนในสมัยนั้นมาก เมโทรถูกใช้เป็นหลุมหลบภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ของฝ่ายศัตรู ของชาวเมืองมอสโคว ในช่วงเวลานั้นเอง ทุกตารางนิ้วของพื้นเมโทรถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า เป็นที่หลับนอนของคนทั่วไปยามค่ำคืน เป็นทั้งโรงพยายาลสำหรับรักษาคนป่วย และถูกใช้เป็นหอบังคับการของหน่วยงานราชการ ช่วงเหตุการณ์สงคราม ปี 1941 มีเด็กที่คลอดภายในเมโทรถึง 217 คน
ในเดือนตุลาคม 1941 เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 4 วัน กองทัพเยอรมันจะเข้าประชิดเมือง และการพ่ายแพ้ของชาวเมืองก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่า ช่วงเวลานั้นเกิดความโกลาหล และความแตกตื่นของผู้คน รวมถึงคนที่อพยพอยู่ภายในเมโทรด้วย ในวันที่ 15 ตุลาคม 1941 ได้มีการสั่งปิดประตูทางเข้าเมโทร ซึ่งในครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ประตูเมโทรไม่ถูกเปิดใช้งาน แต่อย่างไรก็ตาม ภายในเย็นวันนั้นเอง ผู้ว่าการเมืองได้ยกเลิกคำสั่งนี้ สตาลินไม่ยอมทิ้งกรุงมอสโคว เขายังคงยืนหยัดต่อสู่กับศัตรูต่อไป และการกระทำของสตาลินครั้งนี้เอง ทำให้ความเชื่อมั่นของชาวเมืองมอสโควกลับคืนมา พวกเขาเชื่อว่า เมืองอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา จะยังคงอยู่ ต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้แต่ช่วงเวลาของสงครามการสร้างเมโทรก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน ในบางสถานี เช่น กูรสกายา ปาวิเลสกายา ได้มีการสร้างป้ายอนุสรณ์รำลึกถึงการทำสงคราม หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แนวคิดการสร้างเมโทรเพื่อทำเป็นหลุมหลบภัยก็ได้ถูกใช้เรื่อยมา ในช่วงสงครามเย็น ได้เกิดแนวคิดการสร้างเมโทรเพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยสำหรับบรรดานักการเมือง ด้วยการสร้างสถานีรถไฟใต้ดินที่มีความลึกมากเป็นพิเศษ สายรถไฟสายแรกที่สร้างขึ้นตามโครงการนี้คือ สายรถไฟ อารบัตสโก ปาโกรฟสกายา «Арбатско-Покровская» และในช่วงเวลาเดียวนี้เอง ว่ากันว่าเริ่มมีการสร้างเมโทรลับที่ใช้สำหรับบรรดาข้าราชการและนักการเมืองรวมถึงครอบครัว ที่เรียกกันว่า เมโทรที่ 2 (หรือ อีกชื่อเรียกว่า แผนงาน D6)
ว่ากันว่า ภายในเมโทรสายนี้ ได้วางแผนเพื่อใช้เป็นช่องทางลับในการหลบหนี กรณีเกิดสงคราม มีการสร้างอพาร์ทเมนท์ใต้ดิน ที่ประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ มากมายไม่แต่ต่างจากบนดิน แต่ละอพาร์ทเมนท์ มีทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ห้องอาหาร และสุขา ในปี 1991 ได้มีเอกสารรายงานของหน่วยงานราชการทหารของสหรัฐที่กล่าวถึงเมโทรสายนี้ว่า หนึ่งในช่องทางเข้าหลุมหลบภัยเพื่อไปยังเมโทรสายนี้นั้น อยู่ใต้พระราชวังเครมลิน ส่วนอีกที่หนึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแห่งกรุงมอสโคว หลุมหลบภัยสองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นหอบังคับการของรัฐบาลในช่วงสงคราม โดยตั้งอยู่ใต้พื้นดินประมาณ 200-300 เมตร มีความจุผู้คนประมาณ 10,000 คน ในการเชื่อมโยงหอบังคับการหรือหลุมหลบภัยเหล่านี้มีรถไฟใต้ดินเป็นตัวเชื่อม และยังเชื่อกันว่ามีช่องทางลับที่ไปถึงสนามบินวนุกกาว่าอีกด้วย
นอกเหนือไปจากความเชื่อในเรื่องของเมโทรลับแล้ว ยังมีความเชื่อของผู้คนทั่วไปที่เกี่ยวกับปฏิมากรรมภายในสถานี อีกด้วย เช่น ที่เมโทร โปลชิด เรวารูซีอี มีปฎิมากรรมรูปปั้นสัมฤทธิ์ ทหารชายแดนกับสุนัข บรรดานักเรียนนักศึกษาต่างมีความเชื่อว่า การถูที่จมูกของสุนัขตัวนั้น จะทำให้ผ่านพ้นการสอบไปได้ด้วยดี จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเฉพาะส่วนของจมูกสุนัขถูกถูจนเปลี่ยนไปเป็นสีทอง ด้วยพลังความเชื่อนี้ แม้จะออกจากรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว หลายต่อหลายคนก็ยังคงเชื่อมั่นว่าสุนัขตัวนั้นเป็นสุนัขแห่งความโชคดี
ปัจจุบัน ในปี 2013 สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโควมีสถานีรวมทั้งสิ้น 188 สถานี สายการเดินรถ 12 สาย แม้ว่าแต่ละสายการเดินรถจะมีชื่อกำกับอยู่ แต่คนทั่วไปแล้วมักจะจำด้วยการจำแนกสีเส้นทางมากว่าอักษรหรือตัวเลข ระยะห่างของขบวนรถไฟในช่วงเวลาเร่งด่วนห่างกันเพียง 90 วินาที เท่านั้นเอง ปัจจุบันรถไฟใต้ดินทำการขนส่งผู้โดยสารโดยเฉลี่ยกว่า 7 ล้านคนต่อวัน รวมเส้นทางยาว 312.9 กม เมโทรที่มีความลึกมากที่สุดในกรุงมอสโคว คือเมโทรปาร์คปาเบียดึย ซึ่งแปลว่า สวนแห่งชัยชนะ โดยมีความลึกถึง 90 เมตร และนับว่าเป็นสถานีที่มีบันไดเลื่อนยาวที่สุดในเมืองมอสโคว คือ ยาวถึง 126 เมตร ส่วนในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมโทรที่มีความลึกมากที่สุดคือ เมโทร อัดมิราลตีสกาย่า ซึ่งมีความลึกถึง 120 เมตรจากพื้นดินถึงจุดต่ำสุดของสถานี นับเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่ลึกที่สุดของรัสเซีย และยังนับเป็นหนึ่งในเมโทรที่มีความลึกมากที่สุดในโลกอีกด้วย เมโทรที่มีความลึกรองลงมาคือ เมโทรโชรนึยเชฟสกายา ลึกถึง 74 เมตร จากพื้นดิน จากนั้นคือ สถานี โปลชิด เลนินน่า ลึก 72 เมตร นอกจากนี้ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจากค่าเฉลี่ยความลึกของสถานีโดยรวมแล้วถือว่า เป็นเมืองที่มีสถานีเมโทรลึกที่สุดในโลก
เมื่อปลายปี 2010 ที่ผ่านมา คณะผู้ว่าการกรุงมอสโควมีการจัดทำแผนการพัฒนาเมโทรภายในปี 2020 โดยจะสร้างเมโทรให้ยาวออกไปอีก 124 กม เพื่อที่จะขยายการคมนาคมขนส่งผู้คนออกไปยังชานเมือง และภายในปี 2025 จะสร้างเส้นทางเดินรถให้ได้อย่างน้อย 650 กม และจะต้องทำเส้นทางวงแหวนเส้นที่สองให้แล้วเสร็จ
ปัจจุบันจำนวนของผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโคว ถือว่ามีจำนวนผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับสามของโลก รองจาก เมโทรในโตเกียว และ เมโทรในกรุงโซล และตังแต่เดือน เมษายน 2013 ราคา อัตราค่าโดยสารเมโทรในกรุงมอสโคว ต่อการเดินทาง 1 เที่ยว คือ 30 รูเบิล หรือตกประมาณ 30 บาทไทย
แม้ว่าการสร้างเมโทรจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพง แต่ก็มีความจำเป็นไม่น้อย เพราะนอกจากจะช่วยย่นระยะทางและเวลาของคนเมืองที่เสียไปบนท้องถนนแล้ว ยังช่วยบรรเทาการจราจรที่ติดขัดลงได้ ด้วยตัวเลือกของการเดินทางใหม่และรวดเร็วกว่า การเดินทางโดยการใช้เมโทรจะทำให้ผู้เดินทางสามารถคำนวณระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ซึ่งต่างกับการเดินทางโดยรถส่วนตัวหรือรถประจำทาง ที่ระยะเวลาการเดินทางอาจไม่แน่นอน สืบเนื่องจากปัจจัยของจำนวนรถบนท้องถนน จะเห็นได้ว่า ในรัสเซีย ค่าก่อสร้างต่อ ระยะทาง 1 กม มีรายจ่ายเกือบ 7,000 ล้านรูเบิล แต่ก็หาได้สร้างความลังเลใจในการสร้างสถานีรถไฟใต้ดินของรัฐบาลไม่ เพราะเมื่อหันกลับมามองจำนวนของผู้โดยสารในมอสโควที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน การสร้างระบบการคมนาคมที่รวดเร็วนั้น ก็นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่งในสังคมเมืองยุคปัจจุบัน และแม้ว่าเราจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการสร้างเมโทรตั้งแต่ยุคสตาลิน จวนจนยุคไฮเทค แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ การขนส่งด้วยระบบรถไฟใต้ดิน ยังคงเป็นระบบที่มีความสำคัญกับการใช้ชีวิตผู้คนชาวมอสโคว ตั้งแต่ยุคสมัยแรกจวบจนปัจจุบัน
แปลและเรียบเรียงโดย ทีมงาน “Say Hi Russia”
อ้างอิงจาก
http://strana.ru/journal/2458614
http://ru.wikipedia.org/wiki/%D0%9C%D0%B5%D1%82%D1%80%D0%BE-2
http://www.libo.ru/libo7341.html
http://ru.wikipedia.org/wiki/%D0%9C%D0%BE%D1%81%D0%BA%D0%BE%D0%B2%D1%81%D0%BA%D0%B8%D0%B9_%D0%BC%D0%B5%D1%82%D1%80%D0%BE%D0%BF%D0%BE%D0%BB%D0%B8%D1%82%D0%B5%D0%BD
http://en.wikipedia.org/wiki/Moscow_Metro
http://vad.livejournal.com/176250.html
http://www.ridus.ru/news/16776/
9 เม.ย 2564
9 เม.ย 2564
22 พ.ค. 2564